Network Switch คืออะไร มีกี่ประเภท ทำหน้าที่อะไร ต่างกับ Router ยังไง ช่วยเสริมประสิทธิภาพให้ระบบ Network ได้อย่างไร

อุปกรณ์ไอทีที่ชื่อว่า Network Switch กัน ว่ามัน คือ อะไร มีกี่ประภท ทำหน้าที่อะไร มีความสำคัญต่อระบบเครือข่ายเน็ตเวิร์คยังไง และมีหน้าที่ ความสำคัญในส่วนไหนของระบบอินเตอร์เน็ต พร้อมทั้งวิเคราะห์ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของสวิตช์รูปแบบต่างๆ
Network Switch คือ อุปกรณ์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นกล่องเล็กๆ ประกอบด้วยพอร์ตเชื่อมต่อหลายๆ Port ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง ให้อุปกรณ์อื่นๆ อาทิเช่น คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์ POS, Printer, IP Phone หรือ Server เชื่อมต่ออีกทีผ่านสายแลน เพื่อส่งผ่านข้อมูลไปยังระบบเครือข่าย หรือสรุปง่ายๆ ก็คือเป็นตัวกระจายสายแลนไปยังพื้นที่ต่างๆ ของอาคารเพื่อให้อุปกรณ์อื่นๆ เสียบเพื่อเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบเครือข่าย หรืออินเตอร์เน็ตนั่นเอง
หน้าที่ของ Switch โดยรวมแล้ว หน้าที่หลักๆ ของสวิตช์ ประกอบด้วย
รับและส่งผ่านข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบเครือข่ายให้สื่อสารกันได้
เพิ่มจำนวน Port ให้กับระบบเครือข่ายที่มีอยู่แล้ว เพื่อรองรับจำนวนการเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่มากขึ้น
คอยเก็บข้อมูลของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อด้วย เพื่อจัดระเบียบและตรวจสอบข้อมูลในภายหลัง
สามารถใช้เป็นสะพานเพื่อเชื่อมต่อระบบ Network จำนวน 2 เครือข่ายเข้าหากัน
ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ใช้งาน Switch คือ กลุ่ม User ระดับองค์กรเสียมากกว่า ทั้งระดับ SMB ไปจนถึง Enterprise ส่วนการใช้งานตามบ้าน จะนิยมใช้เป็น Router ก็เพียงพอแล้ว แต่ปัจจุบัน ก็มีสวิตช์รุ่นเล็กๆ ที่ราคาประหยัด ถูกๆ เหมาะสำหรับใช้งานที่บ้านได้เช่นกัน
ประเภทของ Network Switch
เป็น Switch แบบมาตรฐานที่ราคาถูก แต่มีฟังก์ชั่นที่มีประสิทธิผล มีความง่ายในการใช้งาน หน้าที่หลักๆ คือ เพื่อใช้เพิ่มจำนวน Ethernet Port ให้กับระบบเครือข่ายข่าย
Unmanaged Switch มักจะไม่จำเป็นต้องถูกตั้งค่าผ่านอุปกรณือื่นๆ อีกทีหนึ่ง เพราะคอนเซปของมัน คือ “plug and play” หรือแค่เสียบก็ใช้งานได้เลยนั่นเอง เป็นกลุ่มประเภทที่นิยมใช้งานกันในออฟฟิศขนาดเล็ก หรือพื้นที่ Commercial ที่ไม่ได้ใช้ระบบเครือข่ายมากมาย
Managed Network Switch
Switch ประเภทนี้ ใช้เพื่อการควบคุม และบริหารจัดการ ที่มีประสิทธิภาพขึ้น มีฟังก์ชั่นที่แอดวานซ์มากขึ้น โดยจะมี Built-in Dashboard หรือ Interface ในตัว มักใช้้เชื่อมต่อกับ Web Browser ได้ เพื่อทำการตั้งค่าได้อีกที ช่วยให้ User ที่เป็น Admin หรือแผนกไอที มีเครื่องมือสำหรับใช้มอนิเตอร์ หรือตรวจสอบข้อมูลรับส่งในระบบเครือข่ายทั้งหมด ในขณะที่ Traffic กำลังวิ่ง
ความสามารถอื่นๆ ที่น่าสนใจ คือ การกำหนดการเข้าถึง, การทำ Port Mirroring, การทำ Redundancy, การจัดค่าความสำคัญของอุปกรณ์ และอื่นๆ อีกมากมาย โดย Managed Switch สามารถออกแบบให้ทำงานแบบ Manual ที่มีความยืดหยุ่น หรือ Smart Switch ที่ใช้งานได้ง่ายกว่า ก็ทำได้ ถือว่าเหมาะกับองค์กรระดับใหญ่ ที่ต้องการความ High Availability (ปรับแต่งการใช้งานได้หลากหลาย อิสระ มีฟีเจอร์พิเศษอีกมากมาย เหมาะสำหรับองค์กรระดับสูง) มั่นคงของระบบ
PoE Network Switch
ไม่ว่าสวิตช์ของคุณจะเป็นแบบ Managed หรือ Unmanaged ก็ตาม ก็ควรเลือกรุ่นที่เป็นแบบ PoE หรือ “Power over Ethernet” สวิตช์ประเภทนี้ จะสามารถส่งผ่านพลังงานให้กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับตนผ่านสาย RJ-45 แทนที่จะส่งได้แต่ข้อมูลเพียงอย่างเดียว ถ้าอุปกรณ์ในเครือข่ายของคุณส่วนใหญ่เป็นแบบ PoE-enabled แนะนำให้เลือกสวิตช์ประเภทนี้เพื่อการใช้งานที่ยืดหยุ่น และลดจำนวนสายไฟ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ปลั๊กไฟจำกัด แถมยังช่วยให้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อมีความเสถียรมากขึ้นอีกด้วย อุปกรณ์ PoE-Enabled คือพวก VOIP Phones กล้องวงจรปิด เป็นต้น
Stackable Network Switch
Stackable Switch คือ สวิตช์ที่สามารถทำงานได้ด้วยตัวมันเองโดดๆ ตัวเดียว หรือจะทำงานร่วมกับ Stackable Switch ตัวอื่นๆ เพื่อเพิ่มขีดจำกัดและทางเลือกในการเชื่อมต่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อทำการเชื่อมต่อกัน สวิตช์แต่ละตัวจะถูกรวมเข้าทำงานด้วยกันเสมือนเป็น Switch ตัวใหญ่ตัวเดียว โดยประสิทธิภาพที่ได้ ก็จะขึ้นกับว่าเราเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกี่ตัว

Switch Layer 2 และ Layer 3 คืออะไร
Layer 2 Switch
คำว่าเลเยอร์ 2 นั้น ใช้เรียกสวิตช์ที่เป็นโมเดลแบบ OSI (Open System Interconnect) ซึ่งจะทำหน้าที่เชื่อมต่อการสื่อสารภายในระบบเครือข่ายเข้าหากันเป็นหลัก มีหลักการการทำงานโดยการเชื่อมต่ออุปกรณ์ และ MAC Address ในระบบ เข้ากับระบบเครือข่ายอย่างเป็นระบบ
เราเตอร์ ฮับ
เรามาดูตัวอย่างการทำงานของสวิตช์แบบเลเยอร์ 2 กัน ว่ามีขั้นตอนยังไงบ้าง โดยจากแผนภาพ ขอสมติว่า Switch กำลังเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทั้งหมด 4 ตัว คือ D1, D2, D3 และ D4
D1 ต้องการส่งข้อมูลไปยัง D2
ในขณะที่ทำการสื่อสารกันครั้งแรก D1 จะรู้ว่า IP Address ของ D2 คืออะไร อย่างไรก็ตาม มันจะยังไม่รู้ค่า MAC Address ของอุปกรณ์ผู้รับ
ดั้งนั้น D1 จะใช้ ARP ในการค้นหา MAC Address ของ D2
Switch จะทำการส่งคำขอ ARP ที่ได้รับมาไปยังไง Port ทั้งหมด (ยกเว้นพอร์ตที่ D1 เชื่อมต่อเอง)
เมื่อ D2 ได้รับคำขอ ARP จะทำการตอบสนองกลับเป็นค่า MAC Address ของตัวมัน ซึ่งในขณะเดียวกัน D2 ก็จะได้รับรู้ค่า MAC Address ของ D1 ด้วยพร้อมๆ กัน
สวิตช์จะเรียนรู้ว่า Mac Address ไหน ใช้งานในพอร์ตไหน และจดจำค่า Mac Address ของ D1 และ D2 ไว้
หลังจากนั้น เมื่อใดก็ตามหรือครั้งต่อๆ ไปที่ D1 ต้องการส่งข้อมูลไปยัง D2 ตัว Switch เองจะเช็คกับค่า Mac Address ของแต่ละพอร์ตที่มันเคยจดจำไว้ และส่งผ่านข้อมูลไปยัง D2 ทันทีโดยไม่เสียเวลา
นอกจากนี้ ตัวสวิตช์ยังจะคอยอัพเดตค่า Address ใหม่ เรื่อยๆ โดยตัวมันเองอัตโนมัติ
ข้อดีของ Layer 2 Switch นั้น คือ สามารถช่วยส่งผ่านข้อมูลได้อย่างเรียบง่ายและรวดเร็วผ่าน MAC Address โดยไม่ต้องตั้งค่าให้ยุ่งยาก ติดตั้งง่าย รวดเร็ว และมีราคาที่ถูกทั้งตัวอุปกรณ์ และค่าดำเนินการ สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว และปลอดภัย
Layer 3 Switch
สวิตช์แบบเลเยอร์ 3 มีการทำงานที่พิเศษ และหลากหลายนอกเหนือจากการเป็นแค่ Switch ธรรมดา โดย Computer ที่เชื่อมต่อ ต้องมี Default Gateway สำหรับการเชื่อมต่อ Layer 3 กับเครือข่ายอื่นๆ
สวิตช์ประเภทนี้ ช่วยให้ User สามารถผสมผสานฟังก์ชั่นของ Switch และ Router เข้าด้วยกัน โดยทั้งเชื่อมอุปกรณ์ภายในเครือข่ายเข้าด้วยกัน และเชื่อมกับเครือข่ายอื่นๆ ที่ตั้งค่าไว้ สวิตช์ประเภทนี้รองรับการ Routing Protocols ช่วยให้ตรวจสอบข้อมูลที่ไหลเวียนอยู่ในระบบ พร้อมทั้งบริหารจัดการได้อย่างครอบคลุม ทั่วถึง
ข้อดีของ Layer 3 Switch คือ ช่วยให้สามารถสื่อสารข้ามเครือข่ายกันได้, สามารถตั้งค่าความปลอดภัยหรือ Security ได้อย่างเป็นระบบ, ลดค่า Traffic ที่หนาแน่น, ง่ายต่อการ Config ค่าสำหรับ VLANs และทำงานได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ต้องทำงานผ่าน Router อีกที
แล้วเราจะเลือกใช้ Switch รุ่นใหนดี
การเลือกซื้อสวิตช์นั้น ตั้งดูการใช้งาน และความต้องการหลักก่อน เพราะมีโมเดลให้เลือกใช้งานมากมาย โดยให้ดู Requirement เป็นหลัก หลังจากนั้นจึงตรวจสอบงบประมาณเราว่าเพียงพอมั้ย ถ้างบเหลือ ก็ดูว่าส่วนที่ใช้งานมีโอกาสเติบโตขยับขยายหรือไม่ ถ้ามี ก็อาจเลือกซื้อรุ่นที่รองรับการใช้งานได้มากกว่าความต้องการเผื่อไว
ราคาประมาณเท่าไหร่
ราคาของ Switch นั้น ขึ้นอยู่ปัจจัยหลายๆ อย่าง หลักๆ คือ ความเร็ว, จำนวนพอร์ต และฟีเจอร์เสริม
ตัวอย่างประมาณราคาคร่าวๆ สวิตช์รุ่น 8-Port ธรรมดา มักจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 1,000 – 1,500 บาท ในขณะที่ Switch 24-Port จะอยู่ที่ประมาณ 3,000 – 4,000 บาท
สำหรับ Managed Switch ซึ่งมี Interface สำหรับให้ Admin สามารถตั้งค่า บริหารจัดการ พร้อมทั้งใช้งานฟีเจอร์เสริมต่างๆ อาจจะมีราคาสูงขึ้นไปอีก โดยรุ่น 8-Port อาจจะมีราคาตั้งแต่ 1,500 – 2,500 บาท เป็นต้น
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มีผลต่อราคาของสวิตช์พอสมควร ได้แก่ PoE นั่นเอง โดยถ้าเทียบรุ่นที่มีสเปคอื่นๆ เหมือนกัน 2 ตัว ตัวที่มี PoE มักจะมีราคาสูงขึ้นกว่าตัวที่ไม่มีประมาณ 500 – 1,000 บาท ทั้งนี้ แล้วแต่จำนวน Port ด้วย เพราะยิ่งพอร์ตเยอะ ราคาก็จะแพงขึ้นเยอะมากขึ้นนั่นเอง
สำหรับโมเดลที่รองรับความเร็ซระดับ 10-Gigabit มักจะมีราคาเริ่มต้นที่ 5,000 บาท ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาด และฟีเจอร์ที่มาพร้อมกับตัวอุปกรณ์ โดยรุ่นที่ตัวใหญ่ๆ ราคาเป็นแสนๆ เลยก็มีเช่นกัน
ใช้รุ่นไหนดี
สำหรับการตัดสินใจ ว่าจะเลือกซื้อโมเดลไหนดีนั้น ก็ต้องตรวจสอบความต้องการของ User ก่อนว่ามี Requirement ยังไงบ้าง โดยคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้
จำนวนอุปกรณ์ที่ต้องการนำมาเชื่อมต่อกับตัว Switch โดยควรจะคำนึงถึงการใช้งานเผื่ออนาคตที่อาจจะมีจำนวน Device ที่เพิ่มขึ้นด้วย
ตรวจสอบดูงบประมาณ ว่าเรามีงบที่สามารถใช้จ่ายกับสวิตช์ได้ที่เท่าไหร่
ดูการใช้งาน ว่าจำเป็นต้องใช้ Managed หรือ Unmanaged Switch
ดูชนิดของอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อ Switch ว่าจำเป็นต้องใช้พลังงาน PoE หรือไม่
ตรวจสอบ Bandwidth ของเครือข่ายสามารถรองรับการใช้งานได้ เพื่อเช็คว่าจำเป็นต้องอัพเกรดหรือไม่
สำหรับจำนวนพอร์ต ก็ขึ้นอยู่สเกลของพื้นที่ที่ใช้งาน ถ้าเป็นการใช้งานในบ้านพักอาศัย รวมไปถึงองค์กรขนาดเล็กไปถึงกลาง (SMB) การใช้สวิตช์ขนาด 4, 5 หรือ 8 Port ก็อาจจะเพียงพอต่อความต้องการแล้ว ในขณะที่องค์กรระดับ Enterprise หรือห้องเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ อาจจะจำเป็นต้องเลือกซื้อรุ่นขนาด 48 Port ขึ้นไป ก็เป็นไปได้เช่นกัน